สิวคืออะไร มีกี่ประเภท ?

สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยมาก โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น สิวเกิดขึ้นเมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป จนไปอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นสิว
สิวมีหลายประเภท ได้แก่ สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวอักเสบ สิวหัวช้าง และสิวซีตส์ สิวแต่ละประเภทมีลักษณะและอาการที่แตกต่างกันไป

  • สิวหัวดำ เกิดจากน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน ทำให้รูขุมขนขยายใหญ่และมองเห็นเป็นจุดสีดำ
  • สิวหัวขาว เกิดจากน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน แต่รูขุมขนยังไม่ขยายใหญ่ จึงมองไม่เห็นจุดสีดำ
  • สิวอักเสบ เกิดจากแบคทีเรียเข้าไปในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นสิวหัวแดงหรือหัวหนอง
  • สิวหัวช้าง เป็นสิวที่มีขนาดใหญ่และเจ็บปวด มักเกิดขึ้นที่ใบหน้า หน้าอก และหลัง
  • สิวซีตส์ สิวอักเสบประเภทที่รุนแรงและเป็นอันตรายมากที่สุด ซีสต์จะเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนัง เต็มไปด้วยหนองปนเลือด มีขนาดใหญ่หลายเซนติเมตร

สารบัญรวมเรื่องสิว

สิวอักเสบ ไม่มีหัวนูนๆ ปวดๆ คืออะไร ?

สิวขึ้นที่หน้าผาก เกิดจากอะไร ?

ปัจจัย ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวที่หน้าผาก

  1. กรรมพันธุ์ : หากพ่อแม่หรือบุคคลในครอบครัวเป็นสิว ลูกก็จะมีโอกาสเป็นสิวด้วยเช่นกัน
  2. ฮอร์โมน : ปริมาณฮอร์โมนเพศที่ไม่สมดุลในร่างกาย จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้นจนรูขุมขนอุดตันและอักเสบ ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน สามารถพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
  3. ความเครียด : เมื่อเกิดความเครียด ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง จะเป็นสิวได้ง่ายขึ้น
  4. การใช้ยา : ยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดสิวได้ เช่น ยาที่มีคอร์ติโคสเตียรอยด์ เทสโทสเตอโรน และลิเธียม  
  5. เครื่องสำอาง : การใช้เครื่องสำอางแล้วล้างหน้าไม่สะอาด มีสิ่งสกปรกตกค้าง ทำให้เกิดสิว
  6. ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม : ผลิตภัณฑ์บางอย่างมีส่วนผสมของน้ำมัน ทำให้เส้นผมมีความมัน เป็นสาเหตุให้สิวอุดตันขึ้นหน้าผากและไรผม
  7. เหงื่อและสิ่งสกปรก : ความมันจากเหงื่อ ความอับชื้น และสิ่งสกปรกต่าง ๆ หากไม่รักษาความสะอาด ปล่อยทิ้งไว้อาจสะสมกลายเป็นสิวเสี้ยนในรูขุมขน
  8. แสงแดดและมลภาวะ : รังสียูวีในแสงแดดและมลพิษทางอากาศ เป็นตัวทำลายเกราะป้องกันผิว กระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น ส่งผลต่อการอุดตันและเกิดผิวอักเสบ   

สาเหตุหลักของการเกิดสิว

สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุสามารถเสริมสร้างและทำให้สิวเลวร้ายลงได้ การเข้าใจสาเหตุของการเกิดสิวเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกวิธีการรักษาและป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. รูขุมขนอุดตัน ผิวหนังของมนุษย์มีการสร้างเซลล์ใหม่ทุก ๆ 28 วัน เซลล์ผิวที่ตายแล้วจะต้องถูกกำจัดออกจากผิวหนังตามกระบวนการทางธรรมชาติ แต่บางครั้งเซลล์ผิวที่ตายแล้วเหล่านี้อาจไม่หลุดออกไปตามปกติและอาจสะสมตัวอยู่ในรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุแรกเริ่มของการเกิดสิว
  2. การผลิตน้ำมันมากเกินไปจากต่อมไขมัน ต่อมไขมัน (Sebaceous glands) มีหน้าที่ผลิตน้ำมัน (Sebum) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น แต่เมื่อฮอร์โมนแอนโดรเจนกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันมากเกินไป การผลิตน้ำมันจะเพิ่มขึ้น น้ำมันส่วนเกินนี้สามารถดันขึ้นมาที่ผิวด้านบนซึ่งใช้ทางเดียวกับรูขุมขน เมื่อน้ำมันผสมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิว
  3. แบคทีเรีย แบคทีเรียชนิด Propionibacterium acnes (P. acnes) เป็นแบคทีเรียที่พบได้ตามธรรมชาติบนผิวหนังของมนุษย์ แบคทีเรียชนิดนี้มีหน้าที่ย่อยไขมันที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อรูขุมขนอุดตัน P. acnes จะเติบโตอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีอากาศและอุดมด้วยน้ำมัน ทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ
  4. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ฮอร์โมนแอนโดรเจนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น รอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาบางชนิด สามารถเพิ่มระดับแอนโดรเจนและทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น การผลิตน้ำมันที่มากเกินไปนี้สามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะในเพศหญิงในช่วงมีรอบเดือน

    การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แตกต่างกันของการเกิดสิวช่วยให้เราสามารถเลือกใช้วิธีการรักษาและป้องกันที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดการเกิดสิวและรักษาผิวให้มีสุขภาพดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีรักษาสิวอักเสบ สิวอุดตัน รอยสิว และหลุมสิว

สิวสามารถรักษาได้ด้วยวิธีต่างๆ ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของสิว วิธีรักษาสิวที่พบบ่อย ได้แก่ การกดสิว, การมาส์ก, การฉีดสิว, การทำเลเซอร์, การใช้ยาแต้มสิว, การใช้ยารับประทาน

 

การกดสิวดีหรือไม่ ?

การรักษาสิวอุดตันด้วยการกดสิว

สิวอุดตันประเภทสิวหัวขาวหรือสิวหัวปิดสามารถกดออกมาได้ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อจัดการกับการอุดตันและป้องกันการพัฒนาเป็นสิวอักเสบ อย่างไรก็ตาม การกดสิวควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น จะพิจารณาลักษณะสิวของผู้ป่วยก่อน โดยสิวอุดตันหัวเปิดที่ไม่อักเสบสามารถกดได้ทันที แต่สิวหัวปิดจะต้องเจาะเปิดรูที่หัวสิวก่อน ขั้นตอนการกดสิวประกอบด้วย:

  1. ทำความสะอาดผิวด้วยแอลกอฮอล์
  2. เจาะหัวสิวด้วยเข็มฉีดยา (ในกรณีสิวหัวปิด)
  3. ใช้อุปกรณ์กดสิวเพื่อเอาสิ่งอุดตันออก
  4. ซับเลือดและทายาฆ่าเชื้อ

ข้อดีและข้อเสียของการกดสิว

ข้อดี: ช่วยลดโอกาสการพัฒนาเป็นสิวอักเสบ
ข้อเสีย: การกดสิวที่ไม่ถูกวิธีหรือกดสิวที่ไม่ควรกดอาจเพิ่มโอกาสการอักเสบและเกิดรอยดำ รอยแดงหลังสิวได้

การกดสิวต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การกดสิวด้วยตนเองหรือโดยบุคคลที่ไม่มีความรู้และทักษะอาจทำให้ปัญหาสิวลุกลามรุนแรงขึ้นและยากต่อการรักษาในอนาคต

ฉีดสิวกี่วันยุบ ?

การรักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดสิว (Acne Injection) เป็นการรักษาสิวอักเสบโดยการใช้สารกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ฉีดลงไปในตุ่มสิวเพื่อยับยั้งการอักเสบและลดอาการบวมแดง การรักษานี้ช่วยให้สิวยุบตัวลงได้อย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วันหลังฉีด

ผลลัพธ์รวดเร็ว : สิวยุบลงภายใน 24-72 ชั่วโมง ลดอาการเจ็บและอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพสูง : ใช้ได้ผลดีกว่าวิธีการรักษาสิวอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่า

ข้อดีของการเลเซอร์รอยสิวดี

  1. การรักษารอยสิว: เลเซอร์สามารถลดเลือนรอยดำและรอยแดงจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว: เห็นผลลัพธ์ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น
  3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน และกระจ่างใสขึ้น
  4. ความปลอดภัย: วิธีการนี้มีความปลอดภัยและอ่อนโยนต่อผิว
  5. ฟื้นฟูผิว: ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวอย่างยั่งยืน

 

รักษาสิวกี่ครั้งหาย ?

การรักษาสิวต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาต่อเนื่องประมาณ 4-5 ครั้งขึ้นไป ผลลัพธ์ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น หรือปัญหารอยดำจากสิวอาจใช้จำนวนการรักษาที่มากกว่า อย่างน้อย 6 ครั้ง ถึงจะเห็นผล

การรักษาสิวอาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือหลายปี จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ดังนั้นผู้ที่เป็นสิวควรอดทนและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด นอกจากการรักษาสิวด้วยวิธีต่างๆ แล้ว ผู้ที่เป็นสิวยังควรดูแลผิวหน้าและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น

  1. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยสบู่หรือโฟมล้างหน้าที่อ่อนโยน
  2. ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ
  3. ไม่แกะหรือบีบสิว
  4. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
  5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนหรือชื้น
  6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช

การดูแลผิวหน้าและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว จะช่วยลดการเกิดสิวและช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น

กดสิวที่ไหนดี ?

รักษาสิว และรอยสิว
ACNE SCAR CLEAR

  กดสิว + ฉีดสิว
  มาส์กลดการอักเสบ
  เลเซอร์รอยสิว
  ฉายแสงฆ่าเชื้อสิว

>>> ผลิตภัณฑ์รักษาสิวฟรี !!! <<<

ขั้นตอนของโปรแกรม Acne Scar Clear

ขั้นตอนที่ 1: มาส์กละลายหัวสิว การใช้มาส์กที่มีส่วนผสมของวิตามิน A และ BHA ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติและกรดผลไม้ ช่วยลดสิวอุดตัน ผลัดเซลล์ผิว และทำให้หัวสิวหลวมตัว
ขั้นตอนที่ 2: กดสิวและฉีดสิว แพทย์จะกดสิวอุดตันอย่างถูกวิธีเพื่อลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ ส่วนสิวอักเสบจะได้รับการฉีดยาเพื่อลดการอักเสบ
ขั้นตอนที่ 3: มาส์กฆ่าเชื้อสิว มาส์กพิเศษจากอะตอมคลินิกช่วยฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบ กระชับรูขุมขน และลดรอยแดง
ขั้นตอนที่ 4: IPL เลเซอร์หรือ Aurora ฉายแสงฆ่าเชื้อสิว IPL (Intense Pulsed Light): พลังงานแสงความเข้มสูงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลดเลือนริ้วรอยและรอยสิว Aurora: เทคโนโลยีที่ใช้ IPL ร่วมกับคลื่นความถี่วิทยุ (RF) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดสิวอุดตันและรอยสิว ทำให้ผิวกระจ่างใสและอ่อนเยาว์

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

   ติดสารสเตียรอยด์ สิวระเบิดทั่วหน้า รักษาที่ไหนไม่หาย..ต้องมาอะตอมคลินิก
   จุดที่พีคที่สุดของชีวิตคือการแพ้ครีม จนสิวเห่อเต็มหน้า

สิวแบบไหนที่เหมาะกับการกด?

สิวเป็นปัญหาผิวที่พบบ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ซึ่งสิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้ว สิวที่เหมาะกับการกด ได้แก่

  1. สิวหัวขาว (Whiteheads) และสิวหัวดำ (Blackheads) สิวหัวขาวและสิวหัวดำเป็นสิวอุดตันชนิดที่ไม่รุนแรงมากนัก โดยสิวหัวขาวจะเป็นสิวอุดตันที่ปิดอยู่ ใต้ผิวหนัง ส่วนสิวหัวดำจะเป็นสิวอุดตันที่เปิดอยู่ ทำให้มองเห็นเป็นจุดสีดำบนผิวหนัง สิวทั้งสองประเภทนี้สามารถกดออกได้ง่าย โดยใช้ที่กดสิวที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว
  2. สิวหัวหนอง (Pustules) สิวหัวหนองเป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเล็กและมีหนองอยู่ด้านใน สิวหัวหนองสามารถกดออกได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการติดเชื้อ โดยควรใช้ที่กดสิวที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว และไม่ควรบีบหรือแกะสิวหัวหนองด้วยมือเปล่า
  3. สิวซีสต์ (Cysts) สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบชนิดที่รุนแรงที่สุด โดยมีลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง สิวซีสต์มักจะเจ็บปวดและไม่สามารถกดออกได้ด้วยตัวเอง หากมีสิวซีสต์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่สิวทุกประเภทที่เหมาะกับการกด โดยสิวที่ไม่ควรพยายามกดด้วยตัวเอง ได้แก่

  1. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) สิวอักเสบเป็นสิวที่มีการอักเสบรุนแรง โดยมีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่และเจ็บปวด หากพยายามกดสิวอักเสบด้วยตัวเอง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทำให้สิวแย่ลงได้
  2. สิวที่มีหนองลึก (Deep Cystic Acne) สิวที่มีหนองลึกเป็นสิวซีสต์ชนิดหนึ่งที่มีหนองอยู่ลึกใต้ผิวหนัง หากพยายามกดสิวที่มีหนองลึกด้วยตัวเอง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทำให้สิวแย่ลงได้
  3. สิวที่อยู่ใกล้ดวงตา สิวที่อยู่ใกล้ดวงตาเป็นสิวที่อันตรายมาก หากพยายามกดสิวที่อยู่ใกล้ดวงตาด้วยตัวเอง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ลุกลามเข้าไปในดวงตาและทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้

หากมีสิวประเภทดังกล่าวข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

สิวเป็นปัญหาผิวที่พบบ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันส่วนเกินในต่อมไขมัน จนกลายเป็นสิวอุดตันและอักเสบได้ง่าย การกดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวที่นิยมทำกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะสิวอุดตันและสิวหัวหนอง ซึ่งสามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบตัวลงได้อย่างรวดเร็ว

การกดสิวมีข้อดีอย่างไร

ช่วยลดการอักเสบของสิวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสิวอักเสบที่มีหนองอยู่ด้านใน การกดสิวจะช่วยระบายหนองออก ทำให้สิวยุบตัวลงและลดอาการปวดบวมได้

  • ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้ หากกดสิวอย่างถูกวิธีและไม่บีบสิวแรงจนเกินไป ก็จะไม่เกิดรอยแผลเป็น หรือหากเกิดรอยแผลเป็น ก็จะจางหายไปได้ในที่สุด
  • ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น เมื่อสิวยุบตัวลง ผิวหน้าก็จะเรียบเนียนขึ้น ทำให้ใบหน้าแลดูสะอาดและสดใสมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ การกดสิวจะช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินในต่อมไขมัน ทำให้ผิวหน้ามันน้อยลง และลดการเกิดสิวใหม่ได้

การกดสิวมีข้อเสียอย่างไร

หากกดสิวไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ โดยเฉพาะการกดสิวที่อักเสบอยู่แล้ว หรือการกดสิวด้วยมือที่ไม่สะอาด

  • หากกดสิวแรงเกินไป อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบาง
  • หากกดสิวบ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวหน้าอ่อนแอลงได้

ข้อควรระวังในการกดสิว

ไม่ควรพยายามกดสิวด้วยตัวเอง หากไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้อย่างถูกวิธี ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

  • ไม่ควรใช้เล็บมือในการกดสิว เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ควรใช้สำลีหรือไม้พันสำลีแทน
  • ไม่ควรบีบสิวแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้
  • ไม่ควรแกะหรือเกาสิว เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้
  • หลังจากกดสิวแล้ว ควรล้างหน้าให้สะอาดและทายาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

**การกดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวที่ได้ผลดี แต่ก็ต้องทำอย่างถูกวิธีและระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยแผลเป็นและการติดเชื้อ หากไม่มั่นใจว่าสามารถกดสิวได้อย่างถูกวิธี ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง**

สิวอักเสบเกิดได้อย่างไร

สิวอักเสบเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อสิวอุดตัน (สิวหัวขาวและสิวหัวดำ) ติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และเจ็บปวด สิวอักเสบมักพบบริเวณใบหน้า หน้าอก หลัง และไหล่

สิวอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

  • การผลิตน้ำมันส่วนเกินโดยต่อมไขมัน
  • การอุดตันของรูขุมขนด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและน้ำมัน
  • การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (เดิมชื่อ Propionibacterium acnes) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังตามปกติ
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่นหรือในระหว่างตั้งครรภ์
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยาคุมกำเนิด
  • ความเครียด

สิวอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยวิธีต่างๆ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้ใช้ยาทาเฉพาะที่หรือยารับประทานเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดสิวเพื่อช่วยให้สิวอักเสบยุบตัวลงได้เร็วขึ้น

การป้องกันสิวอักเสบสามารถทำได้โดย

  • ล้างหน้าด้วยสบู่หรือโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนวันละสองครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ
  • ไม่แคะ แกะ หรือบีบสิว
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (non-comedogenic)
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือน้ำตาลสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อช่วยลดความเครียด
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

หากคุณมีสิวอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

รอยดำ และหลุมสิว ที่เกิดจากสิว

สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยมาก โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น สิวสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด และการอุดตันของรูขุมขน สิวสามารถทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลังได้ เช่น รอยดำและหลุมสิว ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง

รอยดำจากสิว

รอยดำจากสิวเกิดขึ้นเมื่อสิวอักเสบและเกิดการอักเสบ รอยดำมักจะจางหายไปเองภายในไม่กี่เดือน แต่ในบางกรณีอาจใช้เวลานานกว่านั้นหรือไม่จางหายไปเลย รอยดำจากสิวสามารถรักษาได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก กรดไกลโคลิก หรือไฮโดรควิโนน

หลุมสิว

หลุมสิวเกิดขึ้นเมื่อสิวอักเสบรุนแรงและทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง หลุมสิวสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การใช้เลเซอร์ การกรอผิว และการฉีดฟิลเลอร์

การป้องกันรอยดำและหลุมสิว

วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันรอยดำและหลุมสิวคือการรักษาสิวให้หายตั้งแต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิวเพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็นได้ นอกจากนี้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน

**หากคุณมีรอยดำหรือหลุมสิวที่ทำให้คุณไม่มั่นใจ คุณสามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม**

image
image
image
image

รีวิว รักษาสิว รอยสิว จากผู้รับบริการจริง

image

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้